เกาะพิทักษ์
แนะนำโฮมสเตย์ที่พักบนเกาะพิทักษ์
บ้านไออุ่นทะเล ( บ้านพี่แหวว )
เบอร์ติดต่อ
081 - 6204161
086 - 0180696
087 - 8945421
086 - 9493043
เรือเหมาไปดำน้ำ 1,000 บาท / ลำ / 10 ท่าน
( ค่าอุปกรณ์ดำน้ำตื้น ชุดละ 50 บาท )
เรือเหมาไปไดหมึก 1,000 บาท / ลำ / 10 ท่าน
บ้านพักพี่แหวว มีห้องพักส่วนตัว 3 ห้อง ( มีห้องน้ำในตัว )
พักได้ห้องละ 5 - 6 ท่าน และมีชานบ้านให้พักผ่อนแบบนอนกางมุ้ง ตากลม ชมทะเล ด้วย ...
สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 25 - 30 ท่าน/รอบ
|
|
|
เกาะพิทักษ์ 01 |
เกาะพิทักษ์ 02 |
เกาะพิทักษ์ 03 |
|
|
|
เกาะพิทักษ์ 04 |
เกาะพิทักษ์ 05 |
เกาะพิทักษ์ 06 |
|
|
|
เกาะพิทักษ์ 07 |
เกาะพิทักษ์ 08 |
เกาะพิทักษ์ 09 |
|
|
|
เกาะพิทักษ์ 10 |
เกาะพิทักษ์ 11 |
เกาะพิทักษ์ 12 |
คุณรู้จัก เกาะพิทักษ์ " ชุมชนชาวทะเลใกล้ฝั่ง " หรือยัง?
" หากเอ่ยชื่อของเกาะผีทักในอดีต นักท่องเที่ยวหลายคนอาจจะไม่อยากเดินทางมาเที่ยวกัน แต่เมื่อเอ่ยชื่อของเกาะพิทักษ์ในวันนี้ แน่นอนว่านักท่องเที่ยวหลายๆ คนคงอยากมาสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนชาวทะเลใกล้ฝั่ง ที่พิทักษ์ความสวยงามของธรรมชาติรอบเกาะไว้ได้อย่างดีเยี่ยม "
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บริเวณอ่าวท้องครก ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร
การเดินทาง : จากท่าเรืออ่าวท้องครกมีเรือหางยาวให้บริการ ค่าบริการคนละ 15 บาท
ในอดีตชาวบ้านใกล้เคียงเรียก เกาะพิทักษ์ ว่า เกาะผีทัก ตามคำบอกเล่าของชาวประมงคนหนึ่งซึ่งได้ออกเรือหาปลาบริเวณ เกาะพิทักษ์ เมื่อมองที่ฝั่งบนเกาะพบเงาคนกำลังกวักมือเรียก แต่พอเข้าไปบนเกาะกลับไม่พบผู้คนสักคนเดียว ชาวประมงและชาวบ้านใกล้เคียงจึงเรียกเกาะแห่งนี้ว่าเกาะผีทัก ล่วงเลยมาถึงปัจจุบันเกาะผีทักในอดีต ได้เริ่มมีชาวบ้านที่ไม่เกรงกลัวขึ้นไปอาศัยอยู่บนเกาะ และอยากเปลี่ยนชื่อเกาะเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ยังรักษาคำเดิมๆ ไว้ เพื่อให้ผู้คนจดจำได้ จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น " เกาะพิทักษ์ " แทน
จากถนนอ่าวท้องครกเข้ามาประมาณ 1 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือข้ามไปยัง เกาะพิทักษ์ นักท่องเที่ยวจะพบ เกาะพิทักษ์ ตั้งอยู่ข้างหน้าห่างจากท่าเรือเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ในช่วงเวลาน้ำลงนักท่องเที่ยวสามารถเดินไป เกาะพิทักษ์ ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เรือหางยาวเลย โดยใช้เวลาในการเดินไปเพียง 15 นาทีเท่านั้น นับเป็นเกาะที่ใกล้ฝั่งมากที่สุดของจังหวัดชุมพร
นักท่องเที่ยวกำลังเดินไปยังเกาะพิทักษ์ ขณะน้ำลง
เกาะพิทักษ์ มีเนื้อที่ประมาณ 712 ไร่ มีชุมชนอาศัยอยู่ประมาณ 42 ครัวเรือน ชาวบ้านโดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ อาชีพหลักคือการทำประมงพื้นบ้าน วางลอบหมึก อวนปู เลี้ยงหอยแมลงภู่ ส่วนอาชีพรองลงมาคือ สวนมะพร้าว ดังนั้นพื้นที่ราบบนเกาะโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นสวนมะพร้าว ชาวบ้านจะนำมะพร้าวที่ได้มาเผาเพื่อนำไปส่งบนฝั่งสำหรับทำน้ำมันมะพร้าวต่อไป และเนื่องจากเกาะพิทักษ์ตั้งอยู่ใกล้ฝั่ง ประกอบกับพื้นที่ราบบนเกาะเป็นสวนมะพร้าวทั้งหมด เกาะพิทักษ์จึงไม่มีโรงเรียนหรือสำนักสงฆ์ เมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ จึงต้องขึ้นมาประกอบพิธีกรรมบนฝั่ง
แม้ เกาะพิทักษ์ จะเป็นเกาะเล็กๆ แต่บนเกาะยังมีทางเดินถนนตัวหนอนรอบเกาะ นักท่องเที่ยวสามารถชมวิถีชีวิตชาวประมง ชมกรรมวิธีการเผามะพร้าว และชมวิวรอบเกาะได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยด้านทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งของชุมชนจรดไปถึงทิศใต้ เนื่องจากภูเขาด้านตะวันออกช่วยบังลมพายุได้ดี หากอยากเล่นน้ำชายหาด ทางด้านทิศตะวันออกก็เป็นหาดที่มีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน ชายหาดนี้ยาวประมาณ 450 เมตร น้ำใสสะอาด ด้านทิศเหนือของเกาะมีจุดชมวิวสูงประมาณ 200 เมตร มีศาลาให้พักชมวิวในวันที่อากาศดีๆ ไม่น่าเชื่อว่าจาก เกาะพิทักษ์ จะสามารถมองเห็นได้ไกลถึงเกาะเต่า เกาะสมุย และเกาะพะงันของสุราษฎร์ธานีทีเดียว
นอกจากนี้ ชุมชน เกาะพิทักษ์ ยังได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่อนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเลได้ดีเด่น ไม่แพ้เกาะไหนๆ ในอดีตชุมชนแห่งนี้ยังเคยได้รับรางวัลเกาะปลอดภัยจากยาเสพติดมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันชุมชนบ้าน เกาะพิทักษ์ ยังเป็นศูนย์อนุรักษ์หอยมือเสือ และปะการังสวยงามรอบเกาะ รวมถึงเกาะใกล้เคียงอย่าง "เกาะคราม" ซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก เกาะพิทักษ์ ประมาณ 1 กิโลเมตร บริเวณรอบเกาะครามมีปะการังเขากวาง ปะการังสมอง หอยมือเสือ และปลาทะเลสวยงามให้นักท่องเที่ยวได้ไปชื่นชมกัน การเดินทางมาท่องเที่ยว เกาะพิทักษ์ จึงเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บนเกาะที่ชาวบ้านอยากพิทักษ์ให้งดงามไปนานๆ
เกาะพิทักษ์ โฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์....
จุดเริ่มต้นของกลุ่ม โฮมสเตย์ บ้าน เกาะพิทักษ์ เกิดเมื่อประมาณปี 2538 เมื่อเริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากขึ้น ประกอบกับติดใจในธรรมชาติของเกาะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเริ่มมองหาที่พัก ผู้ใหญ่บ้านอำพล ธานีครุฑ จึงเรียกลูกบ้านประชุมหารือในการจัดทำบ้านพักในรูปแบบ โฮมสเตย์ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและเป็นรายได้เสริมให้กับลูกบ้านบนเกาะ โดยในปีแรกได้เก็บเงินจากนักท่องเที่ยวเพียง 100 บาท ซึ่งถือว่าเป็นช่วงทดลองให้กับลูกบ้าน ....ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาการพักผ่อนแบบ โฮมสเตย์ เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวมากขึ้น โฮมสเตย์ บ้าน เกาะพิทักษ์ จึงเริ่มรับนักท่องเที่ยวมากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้การจัดการในรูปแบบสหกรณ์ เพื่อแบ่งปันรายได้ให้ทั่วถึง ซึ่งชาวบ้านบนเกาะทั้งหมด 42 ครัวเรือน ปัจจุบันสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ทุกหลัง... โฮมสเตย์ เกาะพิทักษ์ นับเป็นชุมชนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากนิตยสาร และหนังสือหลายเล่ม ว่าเป็นชุมชนที่มีความน่าสนใจ และเป็นเกาะที่ยังคงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่สวยงามรอบเกาะไว้ได้อย่างดีเยี่ยม และเริ่มเป็นเกาะที่ติดอกติดใจของนักท่องเที่ยวหลายๆ คนในขณะนี้
บ้านพัก ลักษณะบ้านพักส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ตั้งอยู่ริมทะเล มีชานบ้านกว้างขวางยื่นออกไปในทะเล นักท่องเที่ยวหลายคนติดใจการนอนพักบนชานมากกว่าการนอนในห้องพักเสียอีก เนื่องจากสามารถรับลมเย็นๆ ได้ตลอดทั้งวัน เหมาะแก่การนอนพักผ่อน มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานให้ไม่ว่าจะเป็น มุ้งกันยุง ชุดที่นอน พัดลม ห้องน้ำส่วนใหญ่จะสร้างบนฝั่งริมหาดเพื่อไม่ให้น้ำทะเลหมดความสวยงาม
อาหาร ในเรื่องอาหารการกินไม่เป็นปัญหาสำหรับชาวบ้าน เกาะพิทักษ์ เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ฝั่งสามารถเดินไปได้ อาหารส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารพื้นบ้าน และอาหารทะเลเป็นหลัก แต่หากนักท่องเที่ยวต้องการอะไรเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวสามารถแจ้งบ้านที่พักได้ แต่ควรบอกล่วงหน้าก่อนเดินทาง
กฎการเข้าพัก เนื่องจากชุมชนบน เกาะพิทักษ์ นับถือศาสนาพุทธ จึงไม่มีกฎข้อห้ามมากนัก เกาะพิทักษ์ มีข้อห้ามเพียงอย่างเดียวคือ ห้ามนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาพักแรมนำสิ่งเสพติดทุกชนิดขึ้นบนเกาะ เนื่องจากเป็นเกาะปลอดยาเสพติดมาตั้งแต่ในอดีต ข้อสำคัญอีกอย่างคือ ต้องติดต่อล่วงหน้าประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนเดินทาง พร้อมแจ้งจำนวนคน ระยะเวลาในการพัก เพื่อให้ชาวบ้านได้เตรียมรับรองได้อย่างเรียบร้อย
กิจกรรม เกาะพิทักษ์ มีถนนตัวหนอนรอบเกาะ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิถีชีวิต และเที่ยวรอบเกาะได้อย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย หากต้องการออกไปเรียนรู้การวางอวนปู ลอบหมึก ชาวประมงเกาะพิทักษ์ยินดีให้ความรู้ หากอยากดำน้ำดูปะการัง และปลาสวยงาม สามารถหาเรือเหมาได้จากบริเวณชุมชน
ค่าใช้จ่าย อัตราค่าเข้าพักบนเกาะพิทักษ์ คือ 800 บาท/คน/คืน เป็นค่าที่พัก และอาหาร 3 มื้อ .....หากต้องการนั่งเรือออกไปเที่ยวดำน้ำ มีเรือเหมาในราคา 1,000 บาท/วัน ค่าอุปกรณ์ดำน้ำคนละ 50 บาท
ขอขอบคุณ TRIPS Magazine Vol.9 No.105 July 2005
® มาตรฐานโฮมสเตย์
What is Homestay ? .....
ถ้าพูดถึงการเดินทางมาท่องเที่ยว ใครหลายๆ คน อาจคุ้นเคยกับสถานที่อันแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นชายหาดสีขาว ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าครามของท้องทะเลใต้ ขุนเขาท่ามกลางสายหมอกหนาวเมืองเหนือ มนต์เสน่ห์เสียงแคนแห่งแดนอีสาน และที่พักอันสะดวกสบายไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว แต่ใครจะรู้ว่าเสน่ห์อีกอย่างในการมาท่องเที่ยวนั้น มาจากวิถีชาวบ้านที่เรียบง่าย วัฒนธรรมอันงดงามในแต่ละท้องถิ่น " ความแตกต่างที่สวนทางกลับความเจริญ และแสงสีในเมืองหลวง " นำมาซึ่งที่มาของการท่องเที่ยวในแบบ " โฮมสเตย์ " ที่นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วม และทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับคนในท้องถิ่น เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่าความหมายของ โฮมสเตย์ คือ การพักอาศัยอยู่กับชุมชนตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ วัฒนธรรมท้องถิ่น สังคม ประเพณี ศาสนา โดยนักท่องเที่ยวต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของชุมชนที่เข้าไปพักอาศัย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ขัดต่อวัฒนธรรม จารีตหรือความเชื่อของแต่ละชุมชน สิ่งสำคัญอีกอย่างที่นักท่องเที่ยวควรรู้สำหรับการพักผ่อนแบบ โฮมสเตย์ คือ นักท่องเที่ยวอาจจะไม่สามารถเลือกได้ว่าจะพักห้องแบบใด ทานอาหารแบบไหน อีกทั้งจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกินความจำเป็นอย่างเครื่องปรับอากาศ ทีวี ตู้เย็น เป็นต้น
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวในรูปแบบ โฮมสเตย์ คือ การเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง นักท่องเที่ยวควรหาข้อมูลของ โฮมสเตย์ ที่ต้องการไปพักเสียก่อนว่าเป็นอย่างไร โดยอาจขอคำแนะนำจากศูนย์บริการข่าวสารต่างๆ หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อศึกษาทำความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่างของแต่ละท้องถิ่น สำรวจความชอบของตนเองว่าชอบท่องเที่ยวสไตล์ไหน เมื่อตกลงใจได้แล้วควรติดต่อสอบถามล่วงหน้าให้ดีเสียก่อนว่า บ้านพักของชุมชนที่ต้องการไปพักนั้น พร้อมต้อนรับหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาในเรื่องของห้องพัก และสุดท้ายจึงศึกษาเส้นทางและเตรียมความพร้อมส่วนตัวก่อนออกเดินทาง
ส่วนข้อปฏิบัติระหว่างท่องเที่ยว เมื่อเข้าใจกันดีแล้วว่าเป็นการพักผ่อนที่กินนอนร่วมกับชาวบ้าน นักท่องเที่ยวควรฝึกการกินง่าย อยู่ง่าย เนื่องจากอาหารในแต่ละท้องถิ่นเราอาจจะไม่คุ้นเคย หากไม่สามารถทานอะไรได้ควรแจ้งเจ้าของบ้านล่วงหน้า แต่ไม่ควรไปเปลี่ยนแปลงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นนั้นๆ และควรบริการตนเอง อย่าคาดหวังว่าชาวบ้านจะพร้อมดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง ควรเก็บเกี่ยววัฒนธรรมพื้นเมือง ความเป็นอยู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นกำไรชีวิต เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ อาจมีให้พบเห็นไม่บ่อยนัก สุดท้ายไม่ควรไปทำลายสิ่งของสำคัญและลบหลู่วัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่นนั้นๆ
เสน่ห์ของการท่องเที่ยวในแบบ โฮมสเตย์ คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสวยงามของสถานที่เพียงอย่างเดียว แต่ย่อมจะรวมถึงการได้เข้าไปเรียนรู้ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม อันจะทำให้ตัวเรามีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น เพียงแค่เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากความเคยชิน ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้สัมผัสกับการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ อาจจะทำให้เราได้รับความประทับใจกลับไปได้ อย่างไม่รู้ลืมเลยก็ได้